แม้ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แสดงถึงความมั่นใจของผู้ใช้รถยนต์ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังลังเล โดยสาเหตุหลักที่ทำไมยังไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามี 3 ข้อด้วยกัน
1.ระยะเวลาชาร์จไฟ และระยะทางที่ได้ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง
นี่ยังคงครองแชมป์สาเหตุหลักที่ผู้คนกังวลใจมากที่สุดคือ ระยะเวลาชาร์จไฟที่ต้องใช้เวลานาน ซึ่งผู้ใช้รถแบบเดิมยังไม่ชิน ที่สำคัญแม้การชาร์จไฟแต่ละครั้ง รถยนต์สามารถวิ่งได้ถึงกว่า 400 กิโลเมตร ผู้ใช้รถก็ยังรู้สึกกังวลใจถึงระยะทางที่ถูกจำกัด สถานีชาร์จไฟยังมีอยู่น้อยเกินไป เปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันแบบเดิมที่เติมไม่ถึง 5 นาที มีสถานีให้เติมได้ทุกที่ เติมที่ไหนก็ได้ วิ่งไกลได้มากเท่าที่ต้องการ จึงทำให้ยังลังเลที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
2 ราคารถยนต์ไฟฟ้ายังสูงเกินไป
ราคาของรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ซื้อรถคิดหนัก แม้ว่าราคาจะลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยการสนับสนุนลดภาษีจากภาครัฐ แต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่น่าใช้ก็ยังมีราคาสูง สิ่งนี้ทำให้หลายคนยังใช้รถน้ำมันแบบเดิมต่อไป
3.ยังไม่มีความรู้มากพอเรื่องการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า
สาเหตุหลักที่ทำไมยังไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอีกข้อหนึ่งคือรถยนต์ไฟฟ้าเป็นความรู้ใหม่ ผู้ใช้รถยังไม่เคยชินกับระบบการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า ยังไม่รู้วิธีดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้าให้ดีที่สุด แม้ฟังดูแล้วปัญหานี้ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ แต่เพราะความไม่รู้เรื่องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี ก็อาจนำไปสู่ความผิดพลาด ความเสียหาย ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง เช่น การชาร์จไฟมากเกินไป การชาร์จไฟอย่างรวดเร็วมากเกินไป การขับรถเบียดฟุตบาธ หรือปัญหาอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ายังผ่านการใช้งานไม่นานนัก ต่างจากรถยนต์ระบบสันดาปที่ผ่านการใช้งานมายาวนาน ดังนั้นยังไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่าอนาคตของการใช้รถไฟฟ้าจะเกิดหรือไม่เกิดปัญหาอะไรบ้าง
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุหลักที่ทำไมยังไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นหากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถใน 3 สาเหตุหลักนี้ได้ เชื่อว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องพุ่งขึ้นอีกแน่นอน รวมทั้งความนิยมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะแพร่หลายมากขึ้น