กลุ่มประชากรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตอนนี้คือกลุ่ม GEN Y แต่มีสถิติที่น่าสนใจจากเทรนด์โลกคือคน GEN Y ไม่นิยมซื้อรถยนต์ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม BABY BOOM หรือ GEN X ยุคพ่อแม่ของพวกเขาที่นิยมซื้อรถยนต์กันมากมาย จริงหรือคนรุ่นใหม่ไม่นิยมซื้อรถยนต์?
คนรุ่นใหม่ทำไมไม่ชอบซื้อรถ?
กลุ่ม GEN Y คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงพ.ศ. 2527 – 2539 มีรายงานว่า 8 ใน 10 ของคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญและยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ “ประสบการณ์ชีวิต” มากกว่าจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อบ้านซื้อรถยนต์ การออกไปท่องเที่ยว การไปดูโลกกว้าง การใช้ชีวิตในรูปแบบแปลกใหม่ที่น่าสนใจต่างหากที่พวกเขาต้องการ ในยุคก่อนรถยนต์คือสิ่งที่คนทำงานแทบทุกคนต้องการซื้อมากที่สุด แต่ปัจจุบันความคิดในเรื่องการมีรถยนต์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว วันที่นำภาพรถยนต์ในฝันที่อยากซื้อแปะไว้บนหัวนอน และพยายามเก็บเงินเพื่อซื้อมาเป็นเจ้าของให้ได้ ไม่มีใครต้องการรถยนต์มากมายขนาดนั้น อาจจะมีบ้างบางคนที่ชอบรถยนต์จริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบรถยนต์เป็นอันดับต้นๆ ของชีวิตขนาดนั้นแล้ว
สาเหตุที่คนรุ่นใหม่ไม่นิยมซื้อรถยนต์
1.ไม่มีเงิน
เนื่องจากเป้าหมายชีวิตเปลี่ยนไป เราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ไม่นิยมทำงานประจำ นิยมทำงานสบายๆ เลือกงานที่ตัวเองถนัด งานที่เป็นเจ้านายตัวเอง ไม่เน้นความร่ำรวยแต่เน้นความสุข บางคนอาจไปเปิดร้านกาแฟ ทำไร่ไถนา ปลูกผัก ทำงานฝีมือ คิดทำสิ่งแปลกใหม่ เน้นประสบการณ์ชีวิตและจิตวิญญาณ ทำให้มีเฉพาะบางคนที่ร่ำรวย บ้างก็แค่พอมีพอกินและส่วนใหญ่ชอบอาศัยอยู่กับพ่อแม่ การซื้อรถยนต์จึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีเงินดาวน์ ไม่มีงานประจำ กู้ไฟแนนซ์ก็ยาก อีกทั้งคนรุ่นใหม่ยังเจอปัญหาเศรษฐกิจโลกตกต่ำ หนำซ้ำยังเจอปัญหาโควิด 19 ซ้ำเติมอีกด้วย ทำให้มีเงินอย่างจำกัด การจะซื้อรถยนต์คันหนึ่งราคาแตะล้านบาท จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเงินได้ และที่สำคัญก็ไม่รู้จะซื้อมาเพื่ออะไร หากทำงานที่บ้านและไม่ได้จำเป็นต้องใช้รถทุกวัน
2. อาศัยอยู่ในเขตเมือง
คนรุ่นใหม่นิยมอาศัยใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ มีทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง ไม่ต้องฝ่ารถติด มีทั้งรถสาธารณะ เรือโดยสารสาธารณะ การเดินทางจึงมีให้เลือกหลากหลายวิธี ดังนั้นการมีรถยนต์จึงดูเกินความจำเป็น หากจำเป็นต้องออกจากเมืองไปต่างจังหวัด ก็สามารถเช่ารถ ขึ้นเครื่อง นั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟก็ได้ แล้วแต่ว่าแบบไหนจะง่ายกว่ากัน
คนรุ่นใหม่ชอบเดินทางใกล้ๆ ส่วนใหญ่ยังชอบอยู่บ้าน ชอบทำงานใกล้ๆ บ้าน ทำงานออนไลน์ แม้แต่ไปช็อปปิ้งซื้อของ ก็ยังขี้เกียจเดินทางไปห้าง ส่วนใหญ่นิยมซื้อผ่านแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง Shopee หรือ Lazada เพื่อให้มาส่งของถึงหน้าบ้าน การเคลื่อนตัวน้อยลงกว่าคนรุ่นเก่ามาก รถยนต์จึงไม่ใช่ปัจจัยที่ 5 อีกต่อไป
3.รถยนต์มีส่วนสร้างมลพิษให้กับโลก
คนรุ่นใหม่จำนวนมากตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รถยนต์คือส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม การไม่ใช้รถยนต์ถือเป็นการช่วยลดมลพิษได้อีกวิธีหนึ่ง หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ หรือพยายามใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น การไม่เดินทางบ่อยๆ ก็คือส่วนหนึ่งของการช่วยสิ่งแวดล้อมได้
4.มีเงินดีกว่ามีรถ
คนรุ่นใหม่แม้จะมีการงานหรือการเงินไม่มั่นคง พวกเขาก็ไม่ได้กังวลมากเหมือนคนรุ่นเก่า แต่ถ้ามีเงินพวกเขาก็สามารถฉลาดในการลงทุน รวมถึงฉลาดการเก็บออมหรือลงทุนให้เงินงอกงามมากกว่าคนรุ่นเก่า แทนที่จะเอาเงินไปซื้อรถยนต์ซึ่งมีแต่ทำให้เสียเงินกับภาระที่ต้องดูแล สู้เก็บเงินไว้ลงทุนคุ้มค่ากว่า ที่สำคัญคนรุ่นใหม่ไม่ได้นิยมชมชอบการขับรถมากเท่าคนรุ่นเดิม มีรถก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นใดๆ ในชีวิต ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนรุ่นเก่าว่าการมีรถยนต์แพงๆ ทำให้มีหน้ามีตา ช่วยแสดงฐานะ แต่หากคนรุ่นใหม่ต้องทำงานระดับสูง และต้องมีรถยนต์เพื่อเสริมสร้างความสง่างาม องค์กรก็จะมีรถประจำตำแหน่งให้อยู่แล้ว
จริงหรือคนรุ่นใหม่ไม่นิยมซื้อรถยนต์? ดูได้จากคนรุ่นใหม่รอบๆ ตัวว่านิยมซื้อรถกันไหม? ถ้าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงยอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะลดน้อยลงทุกปีหรือไม่? บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างสนใจเรื่องเหล่านี้อยู่เช่นกัน แต่ก็ยังเชื่อว่าหากผลิตโมเดลรถยนต์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้จริงๆ ก็เชื่อว่ากำลังซื้อรถยนต์จะต้องกลับมา ค่ายรถยนต์ก็ยังคงเชื่อว่ารถยนต์เป็นทางเลือกหนึ่งที่สร้าง “ประสบการณ์ชีวิต” ได้ดีเท่ากับทางเลือกอื่นๆ เช่นกัน
ขอบคุณภาพประกอบจาก FreePik