คลังเก็บหมวดหมู่: car tips

ใครๆ ก็เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ

สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดเวลาขับรถช่วงฝนตกก็คือใบปัดน้ำฝนรถยนต์ปัดน้ำฝนไม่เกลี้ยง แถมเป็นคราบมัวๆ ทำให้มองทางไม่ชัดเจน หลายคนต้องรอไปเปลี่ยนที่ศูนย์หรือรอไปให้ช่างเปลี่ยนให้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น! เพราะใครๆ ก็เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ

ใครๆ ก็เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ

เมื่อไรควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งาน 1 – 2 ปีขึ้นอยู่กับเกรดยางใบปัด สภาพอากาศและการใช้งาน แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเมื่อยางใบปัดน้ำฝนเริ่มแข็งกระด้าง ปัดน้ำฝนไม่เกลี้ยงสะอาด ปัดแล้วเป็นคราบมัวๆ นั่นคือสัญญาณว่าใบปัดน้ำฝนได้จบสิ้นอายุขัยแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะมีคราบฝุ่นเกาะที่ยางใบปัด ลองใช้ผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดฝุ่นออก อาจใช้งานต่อไปได้อีก แต่ถ้าเช็ดแล้วก็ยังปัดเป็นคราบน้ำบนกระจก นั่นแสดงว่าถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแล้วจ้า!

ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนของแท้หรือของเทียมดี?

เป็นคำถามยอดฮิตเพราะราคาใบปัดน้ำฝนของแท้และของเทียมแตกต่างกันหลายร้อยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้ามีเงินก็เปลี่ยนแบบของแท้หรือแบบมียี่ห้อได้เลยเพื่อความสุขความเจริญของเรา แต่ แต่ ถ้าเราอยากประหยัดเงิน ใบปัดน้ำฝนราคาถูกที่ขายกันใบละ 40 -100 บาท ก็สามารถใช้งานได้ดีเช่นกัน ปัดได้เกลี้ยงเกลา ใช้ได้ 1 ปีสบายๆ ท่านที่ชอบของถูกสามารถเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนแบบนี้ได้ ขอเพียงให้ขยันเปลี่ยนทุกปีก็พอ

ขั้นตอนการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน

สำหรับรถยนต์ทั่วไปใบปัดน้ำฝนด้านหน้าจะมี 2 ขนาด ส่วนใหญ่จะไม่เท่ากัน จำง่ายๆ คือด้านคนขับใบปัดน้ำฝนจะมีขนาดยาวกว่าด้านผู้โดยสาร ขอให้ตรวจสอบขนาดใบปัดน้ำฝนรถรุ่นเราว่าใช้ขนาดอะไร เช่น 22 นิ้ว / 14 นิ้ว หรือ  24 นิ้ว / 16 นิ้ว อันนี้ก็แล้วแต่รถแต่ละรุ่นจะกำหนด ถ้าหากไม่ทราบจริงๆ วิธีบ้านๆ คือใช้ไม้บรรทัดวัดดูก็ได้จ้ะ แต่วิธีง่ายสุดๆ คือไม่อยากคิดมาก ใส่ขนาดเท่ากันทั้งสองด้านก็ได้

ข้อควรระวัง สำหรับรถยนต์แฮทช์แบ็คที่มีใบปัดน้ำฝน 3 ใบ ใบปัดน้ำฝนด้านหลังส่วนใหญ่จะใช้ไม่เหมือนใบปัดน้ำฝนด้านหน้าทั่วไป จะมีลักษณะต่างออกไป ก่อนสั่งซื้อเพื่อความแน่ใจให้เลือกเฉพาะที่บอกว่า ใบปัดน้ำฝนด้านหลังยี่ห้อรถ..ที่คุณใช้ เพื่อป้องกันการสั่งซื้อมาผิดใส่ด้วยกันไม่ได้

เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ

วิธีการเปลี่ยนก็คือ

1.ให้ยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นจากกระจก 

2.งอใบปัดน้ำฝนให้ตั้งฉากกับก้าน

ใครๆ ก็เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ
ยกก้านใบปัดให้ตั้งฉาก

3.มองใต้ใบปัด จะเห็นตัวล็อกเล็กๆ ด้านล่าง ให้กดตัวล็อกนั้น แล้วค่อยๆ ดันใบปัดน้ำฝนลง จำง่ายๆ แค่ กด แล้วดันลง หลังจากถอดใบปัดแล้วเราจะเห็นปลายก้านใบปัดเป็นรูปตะขอ แสดงว่าเราถอดสำเร็จแล้ว เย้ๆ

กดตัวล็อคเล็กๆ ข้างใต้และดันใบปัดลงมา

นำใบปัดน้ำฝนอันใหม่ขนาดเท่ากันมาสวมคล้องลงไปบนตะขอ จะมีช่องใส่ตะขอขนาดพอดีกัน ให้ดันให้สุด และกดตัวล็อคใบปัดน้ำฝนให้ดังคลิก เป็นอันจบพิธีการเปลี่ยน ง่ายๆ แบบนี้เลย

นำใบปัดน้ำฝนอันใหม่สวมลงไปใต้ตะขอ ดันให้สุด และกดล็อคให้ดังคลิก

การใส่ใบปัดน้ำฝนใบที่สามด้านหลัง

สำหรับรถที่มีใบปัดน้ำฝนด้านหลัง จะสังเกตได้ว่าใบปัดน้ำฝนด้านหลังจะมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ใบปัดจะมีขนาด 12 นิ้ว หรือ 14 นิ้ว แล้วแต่รุ่นรถ

ใบปัดน้ำฝนด้านหลังจะไม่ได้ล็อคด้วยตัวล็อกเหมือนใบปัดด้านหน้า 

วิธีการถอดใบปัดจะคล้ายกันคือ ดึงก้านใบปัดน้ำฝนจากกระจก จับใบปัดให้ตั้งฉาก และใช้วิธีดันใบปัดยางให้ห่างจากฐานก้านก่อน และดึงลงมา ใบปัดจะหลุดออกมาด้านล่าง

ดึงไม่ปัดน้ำฝนไม่ออกทำอย่างไรดี

มือใหม่ที่หัดเปลี่ยนอาจเจอปัญหาดึงใบปัดเท่าไรก็ไม่ยอมลงมา สาเหตุที่ดึงไม่ออกเนื่องจากเกิดความฝืดจากการใช้งานนาน อาจมีคราบสนิมเกราะทำให้ก้านติดกัน 

วิธีการง่ายๆ คือให้ใช้ทิชชูรองที่ข้อต่อใบปัด และใช้ sonax ฉีดเบาๆ ไปที่ข้อต่อใบปัด จะเห็นเขม่าคราบดำๆ หลุดออกมาติดที่ทิชชู่ ให้ลองดึงอีกครั้ง รับรองว่าคราวนี้จะดึงออกได้อย่างง่ายดาย 

ใครที่ลองเปลี่ยนเองครั้งแรกอาจจะกลัวๆ งงๆ อยู่บ้าง แต่ขอให้มั่นใจได้เลยว่า คุณทำได้แน่นอน! พอทำได้แล้วจะภูมิใจในตัวเอง และอย่าลืมบอกต่อเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนด้วยว่า ใครๆ ก็เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเองได้ง่ายสุดๆ

ภาพปกโดย www.freepik.com

หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

ปัญหาที่คนใช้รถยนต์คาดไม่ถึงก็คือหนูกัดสายไฟในรถยนต์ แต่ในขบวนสายทั้งหมด สายที่นางหนูชื่นชอบการกัดมากที่สุดคือสายยางฉีดน้ำ! จะด้วยความถูกใจอะไรก็สุดจะคาดเดาได้ แต่ที่แน่ๆ แล้วเราจะทำไงต่อดีเมื่อ หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์…. ไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ carwidee จะช่วยเยียวยาปัญหาหนูๆ ให้คุณเอง

หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

ทำไมหนูถึงชอบกัดสายไฟในรถยนต์?

รถยนต์ที่ถูกหนูกัดสายมักมีสาเหตุมาจากจอดรถทิ้งไว้นานเกินไป นานเป็นอาทิตย์ไม่ได้สตาร์ตรถเลย บางทีก็จอดรถไว้โดยปิดผ้าคลุมไว้มิดชิด หรือไม่ก็จอดรถไว้ใกล้แหล่งอาหารหนู ใกล้ถังขยะบ้าง ใกล้ท่อระบายน้ำบ้าง ปกติหนูจะชอบหาอาหารและหาที่ทำรัง โดยทำเลทองถูกใจหนูที่สุดก็คือที่ไหนก็ได้ที่มืดๆ เงียบสงบ เป็นช่องเป็นรูพอจะซ่อนตัวและนำอาหารไปกินได้สบายๆ ไม่มีใครเห็น ใต้ฝากระโปรงรถยนต์เป็นหนึ่งในที่หนูชอบแวะไปจับจองทำรัง แต่ชีวิตจริงของหนูไม่ได้ง่ายอย่างงั้น เมื่อมันเข้าไปแล้ว กลับเจอะเจอสายระโยงระยางขวางหน้า เพื่อไม่ให้ชีวิตมีอะไรมาขวางหน้าให้น่ารำคาญ นางหนูจึงต้องกัดให้ขาดกระจุย!!

โดยเฉพาะสายยางฉีดน้ำฝนในรถ ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งที่ขวางหูขวางตาเป็นสิ่งที่หนูโปรดปรานการกัดที่สุด!

ทำไงดี? หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

กว่าคนขับรถจะรู้ตัวว่าสายยางฉีดน้ำในรถขาดเป็นรู ก็ต่อเมื่อฝนตกหรือต้องการฉีดน้ำปัดกระจก เราจะเห็นแต่ใบปัดน้ำฝนกวาดดังแกรกๆ ไปมา ไม่มีน้ำพุ่งออกมาสักหยด! เมื่อนั้นเราก็จะรีบไปเปิดฝากระโปรงเพื่อจะพบภาพบาดตาว่า หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์เราเสียแล้ว! เราจะทำไงดี ขับรถไปที่ศูนย์ให้เปลี่ยนดีไหม หากไปที่ศูนย์ ปกติจะเปลี่ยนให้ทั้งเส้น รวมค่าอุปกรณ์และค่าแรงก็ประมาณ 500-700 บาท ทุกอย่างก็จะจบเรียบร้อย แต่ถ้าเราดูแล้วหนูกัดเป็นรูแค่เพียงช่วงสั้นๆ อีกทั้งช่วงนี้เราก็เบี้ยน้อยหอยน้อย อย่ากระนั้นเลย..เราจงพร้อมใจประหยัดเงินด้วยการซ่อมเองกันดีไหม?

ขั้นตอนการเปลี่ยนสายยางฉีดน้ำ

อย่างแรกคือสำรวจดูว่าหนูกัดสายยางตรงส่วนไหนบ้าง หากอยู่ในช่วงที่สามารถต่อสายเองได้ เราก็จงสั่งซื้อสายยางฉีดน้ำและข้อต่อจากร้านค้าออนไลน์ สนนราคาไม่แพงเลย สายยางฉีดน้ำในรถยนต์ตกเส้นละ 40 บาท ข้อต่ออันละ 10 บาท ให้เลือกขนาดให้ถูกต้องด้วย ปกติสายยางฉีดน้ำจะใช้ด้วยกันได้เกือบทุกยี่ห้อ

หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

ขั้นตอนต่อมา ให้ตัดสายที่ถูกหนูกัดออก และนำมาเทียบความยาวกับสายใหม่ โดยเพิ่มพื้นที่ช่วงบนและช่วงล่างอีกข้างละ 2-3 เซนติเมตรเพื่อไว้สำหรับใส่ข้อต่อเชื่อมต่อเส้นใหม่กับเส้นเก่า

อุปกรณ์ซ่อมหนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์
อุปกรณ์ซ่อมสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

ขั้นตอนสุดท้ายคือ สวมข้อต่อทั้งสองข้างของสายยางเส้นใหม่ และนำไปต่อกับสายยางเดิมในรถยนต์ โดยดันข้อต่อให้สนิทกัน

หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้ลองสตาร์ตรถและฉีดน้ำกระจกรถ หากฉีดน้ำได้ตามปกติก็แสดงว่าเราต่อสำเร็จเรียบร้อยดี เย้ ๆ เย้ๆ ไม่เห็นจะยากเลย

หนูกัดสายยางฉีดน้ำในรถยนต์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และการซ่อมแซมด้วยตัวเองก็เกิดขึี้นได้เช่นกัน ถ้าเรามีความพยายาม แต่ดีที่สุดคืออย่าจอดรถทิ้งไว้นานๆ จนหนูมาทำรังในรถ ครั้งหน้าอาจไม่กัดแค่สายยางแต่กัดสายไฟอื่นๆ ซึ่งเราอาจไม่โชคดีซ่อมได้เหมือนครั้งนี้

ขอบคุณภาพปก www.freepik.com/