ขับรถได้ 4- 5 ปี หรือขับไปได้ 5 หมื่นกิโล ก็ถึงเวลาควรเปลี่ยนยางเสียที ถ้าเปลี่ยนที่ศูนย์ราคาจะแพงกว่าร้านยางทั่วไป เปลี่ยนที่ร้านยางชื่อดังทั่วไปถูกกว่าเปลี่ยนที่ศูนย์แน่นอน แต่…ถ้าเปลี่ยนตามร้านยางตามตึกแถวทั่วไปยิ่งถูกกว่า ทุกวันนี้ยังมียางขายออนไลน์ ถูกเข้าไปอีก บอกเลยยุคนี้ ใครๆ ก็เปลี่ยนยางอย่างประหยัดได้ แค่เลือกใช้ให้เหมาะกับการใช้งานตัวเอง
เปลี่ยนยางที่ไหนดี?
เคยเปลี่ยนมาแล้วทุกที่ ดีทั้งที่ B-Quick และ Cockpit มีรับประกันให้ด้วย บางช่วงมีโปรซื้อ 4 จ่าย 3 เรียกว่าคุ้มค่า แต่ถามว่าซื้อยางราคาประหยัดกว่านี้ได้อีกไหม? อยากประหยัดต้องไปเปลี่ยนตามร้านขายยางทั่วไปที่ไม่ใช่ร้านโด่งดัง ราคาถูกกว่าเส้นละหลายร้อยบาท ในยุคนี้ยังมียางออนไลน์ขายอีกต่างหาก แต่ต้องขับรถไปขนยางเอง ไปตั้งศูนย์ถ่วงล้อเอง คุณต้องลองคำนวนว่าจะคุ้มไหม? ถ้าต่างสัก 1,000 บาทขึ้นไป ร้านไม่ไกล ไปไม่เหนื่อยมาก ก็คิดเสียว่าได้ประหยัดเงินไว้ซื้อกับข้าว
ยางยี่ห้อไหนดี?
ยางมีหลายเกรด คิดแบบง่ายๆ คือยี่ห้อที่ติดรถยนต์มาจากโรงงาน ถ้าขับแล้วรู้สึกดีก็ซื้อยางขนาดเดิม ยี่ห้อเดิมไปเลย ม้วนเดียวจบไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าขับแล้วไม่ค่อยชอบ รู้สึกกระเด้งกระดอนกระด้างไม่นุ่มนวล ไม่เกาะถนน ก็เปลี่ยนยี่ห้อใหม่ที่นุ่มนวลกว่า
พยายามใช้ยางขนาดเดิมที่ติดรถมาดีที่สุด เนื่องจากเป็นขนาดที่ผู้ผลิตรถยนต์คำนวนมาให้แล้วว่ารับน้ำหนักรถได้ดี แต่ถ้าเราไม่ชอบ อยากเปลี่ยนยางขนาดเล็กลง เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กลง ต้องลองว่ายังรับน้ำหนักได้ใกล้เคียงกับขนาดเดิมหรือไม่?
ยางเล็กลงมีผลอย่างไร?
ยางเล็กลงจะรับน้ำหนักได้ลดลง และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น นอกจากนี้จะทำให้มิเตอร์วัดความเร็วจะคลาดเคลื่อนไปได้ ภาษาคนใช้รถจะเรียกว่า “ไมล์อ่อน” ซึ่งหมายถึง มาตรบอกความเร็วแสดงผลมากกว่าความ เร็วจริง
ยางใหญ่ขึ้นมีผลอย่างไรบ้าง?
หลักการเปลี่ยนยางง่ายๆ
ไม่อยากคิดมาก ให้ใช้ยางเส้นศูนย์กลางเท่าเดิมที่ติดมากับรถจากโรงงาน แต่ถ้าเบื่อๆ ก็สามารถเพิ่มขนาดหน้ายางได้ เช่น ขนาดยาางเดิมคือ 185/70/R13 เส้นผ่าศูนย์กลางคือ 13 นิ้ว เราสามารถเปลี่ยนให้หน้ายางใหญ่ขึ้นเป็น 205/60/R13 ก็ได้ ซีรีย์ลดลง จาก 70 เป็น 60 แต่หน้ายางเพิ่มขึ้น สามารถรับน้ำหนักได้ใกล้เคียงของเดิม และเกาะถนนได้ดีขึ้น
เปลี่ยนยางเล็กกว่าเดิมหรือใหญ่กว่าเดิมดีไหม?
หากฟังแล้วยังงงๆ ให้ยึดหลักเส้นศูนย์กลางตัวหลังไว้ให้มั่นๆ คือ R13 และปรึกษาร้านยางว่ามียางรุ่นไหนแนะนำที่เหมาะกับรถเรา
เปลี่ยนยางประเภทไหนดี?
ยางรถยนต์มีให้เลือกดังนี้ ประเภทดีเยี่ยมต้องยกให้ ยางเรเดียลเส้นลวด โครงสร้างยางเป็นเส้นลวดเหล็กกล้า 1 ชั้น วางทำมุม 90 องศากับเส้นรอบวงยางหรือเส้นลวดแต่ละเส้นแผ่กระจายเป็นแนวรัศมีออกจากศูนย์กลางโดยรอบ และมีชั้นของเข็มขัดรัดหน้ายางซึ่งเป็นเส้นลวดเหล็กกล้า4 ชั้น คาดยึดโครงยางไว้ เวลาวิ่งพื้นที่หน้ายางสัมผัสกับถนนได้เต็มที่กว่า ทำให้การยึดเกาะของยางทำได้ดีกว่า การที่หน้ายางยืดหดตัวน้อยกว่าจึงทำให้สึกหรอช้ากว่า ขับปลอดภัยกว่า และด้วยเข็มขัดรัดหน้ายางก็ทำให้ปัญหาการโดนบาดตำหน้ายางลดลงด้วย
รองลงมาคือยางแบบผ้าใบ โครงสร้างยางประกอบด้วยผ้าใบหลายๆ ชั้น ซึ่งผ้าใบแต่ละชั้นจะวางสลับกัน ตัดกันเป็นมุม 40-65 องศา กับเส้นรอบวงยางและมีชั้นของผ้าใบเสริมหน้ายาง 1-2 ชั้น คาดยึดโครงยางไว้ เมื่อรถวิ่ง ยางจะมีการยืดหยุ่นของแก้มยางตลอดเวลา ให้ความนุ่มนวล แต่ก็จะสึกหรอได้เร็วกว่า
ดอกยางแบบไหนดี?
ใครๆ ก็เปลี่ยนยางอย่างประหยัดได้ แค่เลือกใช้ให้เหมาะกับการใช้งานตัวเอง เมื่อเลือกยางได้แล้วควรเลือกดอกยางให้เหมาะกับการใช้งานด้วย
ดอกยางแบบละเอียด (Rib Pattern) ดอกยางแนวยาว นิยมใช้กันทั่วไป ราคาไม่แพงมาก ดอกยางแบบนี้ช่วยควบคุมการขับขี่ได้ดี ไม่ลื่นไถล ยางเสียงไม่ดัง แต่ต้องขับอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่บนถนนลื่นหรือถนนโคลน เหมาะกับการใช้งานบนถนนทั่วไป
ดอกยางแบบบั้ง (Lug Pattern) ดอกยางแนวขวาง วิ่งได้ดีบนทางขรุขระและทางเรียบ เกาะถนนได้ดีกว่าแบบแรก เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
ยางใหญ่เกินไป บางครั้งทำให้ติดซุ้มล้อได้ อาจมีส่วนเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถยนต์ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นได้คือ พวงมาลัยอาจหนักขึ้นขณะจอดหรือใช้ความเร็วต่ำ มิเตอร์ความเร็วคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งเรียกว่า “ไมล์แก่” ซึ่ง หมายถึง มาตรบอกความเร็วแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง
ดอกยางแบบผสม (Rib Lug Pattern) ดอกยางแนวยาวผสมแนวขวาง วิ่งได้ดีทั้งถนนทั่วไปและถนนขรุขระ ถนนกรวดทราย ยางมีเสียงดังบ้าง เกาะถนนดีในทุกเส้นทาง
ดอกยางแบบบล็อก (Block Pattern) ดอกยางเป็นรูปบล็อกทรงกลมหรือทรงเหลี่ยม วิ่งได้ดีมากสำหรับทุกเส้นทาง เหมาะกับสายแอดเวนเจอร์มาก ไม่ว่าจะวิ่งทางเรียบ ทางขรุขระ ลุยโคลน ถนนกรวดทราย ลุยหิมะ ขึ้นเขาลงห้วย ไปได้ทั่ว เกาะถนนได้ดีมาก ยางมีเสียงดังบ้าง เหมาะกับรถออฟโรด
อย่าลืมดูรหัสการผลิตยาง
เลือกดอกยางได้แล้ว อย่าลืมดูรหัสบอกเวลาการผลิตยางด้วย กูรูแนะนำว่่าควรเลือกยางที่ไม่เก่าเกินไป แม้ใครจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ยางเก่าเกินปีก็ไม่ได้เสียหายอะไร ยางไม่ได้เสื่อมคุณภาพ แต่เวลาเราซื้อของ เราก็อยากได้ยางใหม่ไม่เกิน 6 เดือน ใครจะซื้อยางเก่าเกินปีก็ให้เขาซื้อไปเหอะ
วิธีดูรหัสปีการผลิต ก็ให้ดูจากตัวเลข 4 ตัวบนยาง ตัวเลข 2 ตัวหน้าคือ สัปดาห์ที่ผลิตยาง ตัวเลข 2 ตัวหลังคือปีค.ศ.ผลิต
ตัวอย่างข้างบน 2214 นั่นหมายถึง ยางผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ 22 ในปี 2014
ถ้าอยากรู้ละเอียดว่าเดือนไหน เราลองคำนวนคร่าวๆ ก็ได้ เดือนหนึ่งมี 4 สัปดาห์ ลองเอา 4 หาร 22 ก็จะได้ประมาณสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน ปี 2014
ถ้าจะเปลี่ยนยางในปีนี้ (2019) ตัวเลขคู่หลังควรเป็น 19 หมายถึงยางผลิตในปีนี้ ส่วนตัวคู่หน้าตัวเลขยิ่งมากแสดงว่ายางยิ่งใหม่
อ่านรหัสบอกขนาดยาง
รถยนต์ขนาดต่างกันจะใช้ยางต่างกัน รถยนต์คันใหญ่ใช้ยางขนาดใหญ่กว่ารถคันเล็ก เวลาซื้อยางเราจะต้องบอกขนาดยางที่ต้องการ รู้ได้ไงว่าเราต้องใช้ขนาดยางเท่าไร? วิธีง่ายสุดก็ดูยางที่ติดรถเรามานั่นแหละว่าขอบยางเท่าไร?
จากภาพคือตัวเลขที่ติดอยู่ที่ขอบยาง เวลาซื้อยางเส้นใหม่ให้บอกตัวเลขนี้กับคนขายยาง โดยตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ใบ้หวยแต่อย่างใด แต่จะมีความหมายตามในภาพ
อ่านรหัสความเร็วของยาง
ใครๆ ก็เปลี่ยนยางอย่างประหยัดได้ แค่เลือกใช้ให้เหมาะกับการใช้งานตัวเอง รู้ทุกอย่างเรื่องยางแบบนี้แล้ว ขอให้เลือกยางได้ถูกเงินและถูกใจนะครับ
หนึ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับ “ใครๆ ก็เปลี่ยนยางอย่างประหยัดได้ แค่เลือกใช้ให้เหมาะกับการใช้งานตัวเอง”